
data communication 4

สังคมน่ารู้
ประวัติความเป็นมาของเกาะกรุงรัตนโกสินทร์
กรุงเทพมหานคร ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีใหม่แทนกรุงธนบุรีโดยพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชซึ่งทรงปราบดาภิเษก เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ และพระองค์ทรงทำพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วทรงเสด็จขึ้นเสวย ราชสมบัติเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงพระราชทานนามพระนครนี้ว่า
“กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ราชธานี
บุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ"
เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงเปลี่ยนนามพระนครจาก "บวรรัตนโกสินทร์" เป็น "อมรรัตนโกสินทร์"
ราชธานีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยอยุธยาแม้แม่น้ำเจ้าพระยาจะคดเคี้ยวแต่ก็เป็นเส้นทางเดินเรือในการติดต่อกับโลกภายนอกทำให้เส้นทางสัญจรสายนี้คับคั่งไปด้วยเรือสินค้าเข้าออกและก่อให้เกิดชุมชนริมแม่น้ำขึ้น ชุมชนริมน้ำเหล่านี้ได้ขยายตัวขึ้นตามลำดับ เดิมเป็นย่านเล็กๆริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เก่าแก่มีมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยต้นอยุธยาจน กระทั่งมีการขุดคลองลัดบางกอกตั้งแต่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปถึงวัดอรุณราชวรารามในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา(พ.ศ.๒๐๗๗-๒๐๘๙) ซึ่งทำให้เส้นทางเดิมของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลอ้อมคดเคี้ยวกินพื้นที่เข้าไปในฝั่งธนบุรีแคบลงและตื้นเขินกลายเป็นคลอง "บางกอกน้อย" และ "บางกอกใหญ่" ในปัจจุบัน ส่วนคลองลัดที่ขุดขึ้นใหม่เพื่อย่นระยะทางขยายกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา การสัญจรหลักที่ใช้ขึ้นล่องระหว่างกรุงศรีอยุธยากับทะเลจึงหันมาใช้เส้นทางสายใหม่พร้อมๆกับการขยายตัวของชุมชนมายังริมแม่น้ำสายใหม่ซึ่งต่อมาพัฒนาขึ้นในชื่อ ย่าน "บางกอก" และพัฒนาต่อมากลายเป็น "เมืองธนบุรี" ซึ่งมีสถานะเป็นเมืองการค้า และการคมนาคมแห่งหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา
หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกและสมเด็จพระเจ้าตากสินได้กอบกู้บ้านเมืองขึ้นแล้ว ทรงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ซึ่งเป็นเมืองอกแตกเพราะมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านกลางเมือง ก่อสร้างพระราชวังอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ แต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองส่งผลให้พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ปรับเปลี่ยนผังเมืองเสียใหม่ด้วยการย้ายมาสร้างเมืองทางฝั่งตะวันออกเพียงฝั่งเดียวโดยใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของเมืองธนบุรีฝั่งตะวันออกพร้อมกับ ขยายกำแพงเมือง และขุดคูเมืองใหม่ให้ใหญ่ขึ้น ส่วนพื้นที่ฝั่งตะวันตกหรือที่ปัจจุบันเรียกว่า "ฝั่งธนบุรี" ก็ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและชุมชนชาวสวนเช่นเดิม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้สร้างพระราชวังขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาในบริเวณกำแพงพระนครเดิมสมัยกรุงธนบุรี บริเวณที่สร้างพระราชวังนั้น เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชเศรษฐีและชาวจีน ซึ่งได้โปรดให้ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็ง ในการก่อสร้างพระราชวังโปรดให้พระยาธรรมาธิบดี กับพระยาวิจิตรนาวีเป็น แม่กองคุมการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรใหม่ให้มีลักษณะคล้ายกรุงศรีอยุธยา เมื่อทรงประกอบพระราชพิธียกหลักเมืองแล้วจึงเริ่มก่อสร้างพระราชวังหลวงในวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๓๒๕[1]
การสร้างพระนครใหม่เริ่มในปี พ.ศ.๒๓๒๖ สามารถแบ่งเป็นสองระยะในรัชสมัยเดียวกันนี้ ระยะแรกเป็นการย้ายพระราชวังและสถานที่สำคัญมาตั้งที่พระนครฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้กำแพงเมืองธนบุรีที่เลียบตามแนวคูที่ขุดขึ้นในสมัยธนบุรีตั้งแต่ปากคลองตลาดจนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานปิ่นเกล้า(คลองหลอด หรือ คลองคูเมืองเดิม) ซึ่งเป็นบริเวณที่เรียกกันว่า เกาะรัตนโกสินทร์ มีพื้นที่ประมาณ ๑.๘ ตร.กม. เป็นปราการด้านทิศตะวันออก ระยะที่สอง โปรดให้รื้อกำแพงเมืองธนบุรีด้านตะวันออกเพื่อขยายกำแพงและคูพระนครออกโดยให้ขุดขนานกับแนวคูเมืองเดิมสมัยธนบุรี โดยขุดแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่บางลำพูมาออกแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศใต้ใกล้สะพานพุทธยอดฟ้าฯ เรียกว่า คลองบางลำพู และคลองโอ่งอ่าง ส่วนด้านตะวันตก ใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมือง มิได้สร้างกำแพงเมืองเหมือนด้านตะวันออก มีป้อมอยู่ ๑๔ ป้อม มีประตูเมืองขนาดใหญ่ ๑๖ ประตู ประตูเมืองขนาดเล็ก ที่เรียกว่าช่องกุดอีก ๔๗ ประตู เนื้อที่ในครั้งนั้นมีเพียง ๒,๑๖๓ ไร่ พื้นที่นอกกำแพงเมืองเป็นทุ่งนาปลูกข้าว "ราชธานีแห่งใหม่ได้มีการพัฒนา และเจริญขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งกลายเป็น กรุงเทพมหานครในทุกวันนี้"
ป้อมรอบกำแพงพระนครทั้ง ๑๔ ป้อมส่วนใหญ่ได้ถูกรื้อออกไปหมดแล้ว คงเหลือเพียง ๒ ป้อม คือ ป้อมพระสุเมรุ และป้อมมหากาฬ ป้อมทั้ง ๑๔ ป้อม มีชื่อและที่ตั้ง ดังต่อไปนี้
๑. ป้อมพระสุเมรุ ตั้งอยู่ที่มุมกำแพงเมือง ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ใต้ปากคลองบางลำภู ป้อมนี้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
๒. ป้อมยุคนธร ตั้งอยู่บนกำแพงเมืองด้านเหนือ บริเวณเหนือวัดบวรนิเวศ ฯ
๓. ป้อมมหาปราบ ตั้งอยู่บนกำแพงเมืองด้านเหนือ
๔. ป้อมมหากาฬ ตั้งอยู่บนกำแพงด้านตะวันออก ใต้ประตูพฤฒิมาศ บริเวณสะพานผ่านฟ้า ป้อมนี้อยู่ในสภาพ สมบูรณ์
๕. ป้อมหมูทลวง ตั้งอยู่บนกำแพงด้านตะวันออก ตรงหน้าเรือนจำพระนครเก่า
๖. ป้อมเสือทะยาน ตั้งอยู่บนกำแพงเมืองด้านตะวันออก เหนือประตูสามยอด บริเวณสะพานเหล็ก บนป้อมมหากาฬ
๗. ป้อมมหาไชย ตั้งอยู่บนกำแพงเมืองด้านตะวันออก บริเวณหน้าวังบูรพาภิรมย์
๘. ป้อมจักรเพชร ตั้งอยู่ทางด้านใต้ เหนือปากคลองโอ่งอ่าง ใต้วัดราษฎร์บูรณะ (วัดเลียบ) เป็นป้อม สำคัญทางด้านใต้
๙. ป้อมผีเสื้อ ตั้งอยู่ทางด้านใต้ ตรงปากคลองตลาด
๑๐. ป้อมมหาฤกษ์ ตั้งอยู่ทางด้านใต้ เหนือปากคลองตลาดขึ้นไป บริเวณโรงเรียนราชินีล่าง
๑๑. ป้อมมหายักษ์ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตก ตรงวัดพระเชตุพนฯ
๑๒. ป้อมพระจันทร์ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตก ริมท่าพระจันทร์ ตรงมุมวัดมหาธาตุด้านตะวันตกเฉียงเหนือ
๑๓. ป้อมพระอาทิตย์ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตก มุมพระราชวังบวร ฯ ตรงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร
๑๔. ป้อมอิสินธร ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตก
นอกจากนั้นยังมีป้อมที่อยู่นอกกำแพงเมืองสร้างขึ้นภายหลังเมื่อได้ขุดคลองผดุงกรุงเกษมแล้วบางแห่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีอยู่ ๗ ป้อมด้วยกัน ได้แก่
๑. ป้อมปราบปัจจามิตร อยู่ทางฝั่งตะวันตกของ แม่น้ำเจ้าพระยา ริมปากคลองสาน
๒. ป้อมปิดปัจจานึก อยู่ริมปากคลองผดุงกรุงเกษม ทางด้านใต้
๓. ป้อมผลาญศัตรูราบ อยู่ใต้วัดเทพศิรินทร์ ฯ ริมถนนพลับพลาไชย
๔. ป้อมปราบศัตรูพ่าย อยู่ใต้ตลาดนางเลิ้ง ตรงหมู่บ้านญวน ข้างบริเวณวัดสมณานัมบริหาร
๕. ป้อมทำลายแรงปรปักษ์ อยู่เหนือวัดโสมนัสวิหาร
๖. ป้อมหักกำลังดัสกร อยู่ปากคลองผดุงกรุงเกษม ด้านทิศเหนือ
๗. ป้อมวิชัยประสิทธิ์ อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ปากคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง
สถานที่สำคัญในเขตพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน ได้แก่
• พระบรมมหาราชวัง
• วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
• วังหน้าปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
• วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
• วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๔ จารึกวัดโพธิ์จำนวน ๑,๔๔๔ ชิ้น ซึ่งได้มีการจารึกองค์ความรู้ดั้งเดิมในศาสตร์ต่างๆ ของไทยและถูกยึดติดอยู่กับส่วนต่างๆของ อาคารทั้งหลายภายในวัด ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในระดับนานาชาติ จากองค์การยูเนสโก
• เสาหลักเมือง
• ท้องสนามหลวง อยู่ทางด้านเหนือของพระบรมมหาราชวัง เป็นสถานที่สำคัญมาแต่เดิมของกรุงเทพ ฯ บริเวณนี้เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุเพราะเคยเป็นสถานที่ตั้งพระเมรุ พระราชทานเพลิงศพเจ้านายพระองค์ ต่าง ๆ จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชดำริว่า ชื่อทุ่งพระเมรุนี้ฟังไม่เป็นมงคล จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่าท้องสนามหลวงสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ท้องสนามหลวงเป็นสถานที่
สำหรับชาวพระนครได้พักผ่อน โดยตลอดรอบสนามหลวงจะปลูกต้นมะขาม ไว้โดยรอบ และเป็นสถานที่ จัดงานพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นสถานที่เล่นว่าวปักเป้าและ ว่าวจุฬาในฤดูร้อน พื้นที่รอบบริเวณสนามหลวงเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญคู่กรุงเทพฯ เช่น ศาลหลักเมือง กระทรวงกลาโหม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ อนุสาวรีย์ ทหารอาสา (สงครามโลกครั้งที่ 1) ศาลแม่พระธรณี และกระทรวงยุติธรรม นอกจากนั้นสนามหลวงยังเป็น จุดเริ่มต้นของถนนราชดำเนิน และเชื่อมต่อด้วยถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งทอดผ่านด้านตะวันออกของท้อง สนามหลวงไปยังพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นกลางและชั้นนอกเพื่อเชื่อมโยงไปยังพระราชวังดุสิต
เส้นทางท่องเที่ยวรอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน
จุดสนใจ
๑. กรมศิลปากร เดิมเป็นพื้นที่วังถนนหน้าพระลานวังกลางและวังถนนหน้าพระลานวังตะวันออก มีอาณาบริเวณตั้งแต่ถนนหน้าพระลานไปจนถึงถนนหน้าพระธาตุ แรกเริ่มนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สร้างเพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอรุโณทัย ภายหลังวังได้ว่างลงประกอบกับมีการเปลี่ยนผ่านเจ้านายของวังเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดให้รวมวังกลางและวังตะวันออกเป็นวังเดียวกัน ต่อมาราวรัชกาลที่๕ โปรดเกล้าฯให้ใช้พื้นที่วังเป็นโรงงานช่างสิบหมู่ ภายหลังรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯให้รวมงานช่างประณีตศิลป์เข้ากับงานพิพิธภัณฑ์ ทำการจัดตั้งเป็นกรมศิลปากรในเวลาต่อมา ลักษณะเป็นอาคารตึก ๒ ชั้น หันหน้าออกสู่ถนนหน้าพระธาตุ การออกแบบอาคารเป็นทรงสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคหลัง สร้างความโดดเด่นด้วยการทำมุขกลางยื่นออกมาเป็นทางเข้าอาคาร ทั้งนี้ส่วนด้านบนของมุขกลางมีการทำเป็นเฉลียงรับกับองค์ประกอบของมุขที่ยื่นออกมาด้านหน้าอีกด้วย ด้านการตกแต่งอาคารใช้เทคนิคการเขียนภาพจิตรกรรมปูนเปียก(Fresco)เขียนลายแจกันที่เต็มไปด้วยลายพันธ์พฤกษา ทำการเขียนลายดังกล่าวตกแต่งบริเวณขอบบนของหน้าต่างชั้นบน
๒. มหาวิทยาลัยศิลปากรเดิมคือที่ตั้งของ “วังท่าพระ”หรือ “วังท่าช้าง” หากย้อนกลับไปถึงชื่อเดิม เรียกว่า “วังถนนหน้าพระลาน วังตะวันตก”แสดงถึงความสัมพันธ์กับวังถนนหน้าพระลานวังกลางและวังตะวันออกที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียง คำว่า “วังท่าพระ” มาจากเหตุการณ์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯอัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากสุโขทัย เพื่อมาประดิษฐานยังวัดสุทัศนเทพวราราม ทั้งนี้ได้ทำการอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นยังบริเวณประตูท่าช้าง แต่ด้วยองค์พระมีขนาดใหญ่ส่งผลให้ต้องมีการรื้อกำแพง ต่อมาภายหลังจึงทำการก่อกำแพงใหม่ดังเดิม ส่วน “วังท่าช้าง” มาจาก
การเรียกชื่อวังตามท่าน้ำที่เคยเป็นท่าที่ช้างวังหลวงลงอาบน้ำตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑ แรกเริ่มพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสร้างวังท่าพระเพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าฟ้าเหม็น และเจ้านายอีกหลายพระองค์ เจ้านายองค์สุดท้ายที่ใช้เป็นที่ประทับ นั้นคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ก่อนที่จะปรับเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ทั้งนี้ปรากฏสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญ คือ ท้องพระโรงที่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ใช้เป็นที่ออกบังคับบัญชาราชการโดยตลอดสมัยก่อนที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา สภาพปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากร
๓. พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าให้ย้ายราชธานีมาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาราว ราวพุทธศักราช ๒๓๒๕ พร้อมทั้งสร้างพระบรมมหาราชวังในเวลาดังกล่าว โปรดเกล้าฯให้พระยาธรรมาธิกรณ์(บุญรอด)และพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองสร้างพระบรมมหาราชวังเพื่อเป็นศูนย์กลางในพื้นที่ฝั่งพระนคร
การสร้างพระบรมมหาราชวังยังคงรักษาประเพณีการวางตำแหน่งเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในเขตพระราชวังเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งสำคัญๆ ตลอดจนเจดีย์และอาคารทรงปราสาทล้วนแล้วแต่เป็นถาวรวัตถุที่สำคัญเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามยังคงเป็นไปตามธรรมเนียมการสร้างวัดในเขตวังอย่างที่เคยมีมา
๔. ท่าราชวรดิฐ ท่าเตียน วังจักรพงษ์ ท่าราชวรดิฐเป็นท่าเทียบเรือพระที่นั่งฝ่ายพระบรมมหาราชวัง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พระฉนวนน้ำประจำท่าพระราชวังหลวง” ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างหมู่พระที่นั่งใหม่ ๔ หลังแทนพระตำหนักน้ำที่สร้างขึ้นริมฝั่งน้ำในสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รื้อปราบปรับปรุงพื้นที่ทำสนามขยายเขื่อนออกไปข้างหน้า ให้ซ่อมรักษาไว้แต่พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัยดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน
ท่าเตียนตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ถัดลงไปทางด้านทิศใต้ อันเป็นพื้นที่วังเดิมของเจ้านายสมัยรัชกาลที่๑ ภายหลังการเกิดเหตุเพลิงไหม้ ทำให้สภาพพื้นที่โล่งเตียน กลายเป็นชื่อเรียกบริเวณดังกล่าวว่า “ท่าเตียน” สำหรับตึกแถวที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันในสภาพปัจจุบัน ด้วยลักษณะรูปทรงสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕
วังจักรพงษ์ อยู่ถัดลงไปทางทิศใต้ไม่ไกลจากท่าเตียน เดิมนั้นเรียกว่า “วังท่าเตียน” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถสร้างท่าเรือ และพระตำหนักเพื่อประทานให้เป็นวังของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ปัจจุบันวังจักรพงษ์ยังคงใช้เป็นที่พำนักของราชสกุลจักรพงษ์สืบต่อมา
๕. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหารมีอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดโพธิ์”มีฐานะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑ เชื่อว่าแต่เดิมนั้นวัดโพธิ์เป็นวัดโบราณสร้างตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อเข้าสู่ช่วงแรกเริ่มสร้างกรุงรัตนโกสินทร์มีการปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์อย่างยิ่งใหญ่ มีการระดมช่างต่างๆมาร่วมกันสร้างและปฏิสังขรณ์วัด ทั้งนี้ยังมีการรวบรวมพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่างๆมาประดิษฐานไว้รอบพระระเบียงคด มีการเขียนพระชาดกห้าร้อยห้าสิบพระชาติ ตำรายาโบราณ และท่าฤๅษีดัดตนเพื่อเป็นวิทยาทานไว้ที่ศาลาราย และเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ต้องการศึกษาตำราดังกล่าว ปัจจุบันจารึกวัดโพธิ์ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในระดับนานาชาติจากองค์การยูเนสโก
๖. มิวเซียมสยาม หรือ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ เคยเป็นที่ตั้งของกระทรวงพาณิชย์เดิมซึ่งเมื่อแรกตั้งยังไม่มีที่ทำการอย่างถาวร จึงได้มีการสร้างอาคารทำการขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ขึ้นบริเวณวังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช วังกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ และวังกรมหมื่นทิวากรวงษ์ประวัติ ใช้เป็นที่ทำการมากว่า ๗๐ ปี หลังจากนั้นจึงได้ทำการย้ายที่ทำการกระทรวงพาณิชย์ไปยังที่ดินราชพัสดุบริเวณตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง นนทบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒
๗. หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง(กรมการรักษาดินแดน)เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของวังพระเจ้าลูกยาเธอในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้แก่ วังสนามไชย ๑ วังท้ายหับเผย วังที่ ๑,๒ และ๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบริเวณนี้เคยเป็นสวนเจ้าเชต มีเนินดินตรงกลางเป็นที่ตั้งของศาลพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และศาลพระเจตคุปต์ ต่อมา พ.ศ.๒๔๓๓ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็นมกุฎราชกุมาร ได้ทรงย้ายศาลและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรื้อที่ดินวังเหล่านี้สร้างอาคารสำหรับทหารราชวัลลภจน พ.ศ.๒๔๙๙ จึงย้ายกรมการรักษาดินแดนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาตั้งที่นี้แทน
๘. พระราชวังสราญรมย์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกระหว่างพระบรมมหาราชวัง และวัดราชประดิษฐ์ สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นที่ประทับหลังสละราชย์สมบัติ พระราชทานนามว่า “สราญรมย์” แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จพระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงสร้างต่อจนเสร็จและใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้าน้องยาเธอเมื่อแรกเสด็จออกวัง ต่อมาได้ใช้เป็นที่รับรองของพระราชอาคันตุกะและเป็นที่ทำการของกระทรวงการต่างประเทศ ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ออกแบบโดย เฮนรี อาลาบาศเตอร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ โดยมีเจ้าพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (เพ็ง) เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง
๙. อาคารกระทรวงกลาโหมพื้นที่เดิมเคยเป็นที่ตั้งของวัง ๓ วัง ของพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๑ คือ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๒,๔ และ ๖ แต่ถูกทิ้งร้างและใช้งานเป็นโรงช้าง โรงม้า และโรงสีข้าวของทหาร ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาสุรศักดิ์ (เจิม แสง-ชูโต) ได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตสร้างเป็นโรงทหารถาวรขึ้นและเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมการก่อสร้าง และได้จัดตั้งเป็นกระทรวงกลาโหม ปัจจุบันบริเวณสนามด้านหน้ากระทรวงจัดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง แสดงปืนใหญ่โบราณที่มีอายุตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์
๑๐. ศาลหลักเมือง ตั้งอยู่บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของท้องสนามหลวง ตรงข้ามพระบรมมหา ราชวัง เป็นศาลที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีตามธรรมเนียมศาสนาพราหมณ์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้กระทำพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาลจัตวาศกตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ ในปี พ.ศ.๒๓๙๕ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดเสาหลักเมืองเดิมและจัดสร้างเสาหลักเมืองใหม่ทดแทนของเดิมและอัญเชิญหลักเมืองเดิมและหลักเมืองใหม่มาประดิษฐานในอาคารศาลหลักเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนขาว ทรงจตุรมุขยอดปรางค์ ได้แบบอย่างจากศาลหลักเมืองของกรุงศรีอยุธยา บริเวณผนังด้านทิศเหนือก่อเป็นซุ้มประดิษฐานเทพารักษ์ทั้ง ๕ องค์ ได้มีการปฏิสังขรณ์เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ ทำการบูรณะอีกครั้งหนึ่งเพื่อเตรียมการฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ.๒๕๒๕
๑๑. สนามหลวง ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคล เดิมเรียกว่าทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.๒๓๙๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อจาก “ทุ่งพระเมรุ” เป็น “ท้องสนามหลวง” ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อถอนพลับพลาที่เคยสร้างไว้และขยายพื้นที่สนามหลวงเพิ่มขึ้น และใช้เป็นสถานที่พระกอบพระราชพิธีสำคัญหลายครั้ง เช่น ฉลองพระนครครบ ๑๐๐ ปี งานฉลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรป พ.ศ.๒๔๔๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นสนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ และในปัจจุบันสนามหลวงถูกใช้เป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี กาญจนาภิเษก รวมทั้งงานพระเมรุมาศเจ้านายระดับสูง รวมถึงจัดกิจกรรมต่างๆ
๑๒. อาคารศาลฎีกา เดิมเป็นที่ตั้งอาคารศาลสถิตย์ยุติธรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างขึ้นในคราวสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี ในพ.ศ.๒๔๒๕ โปรดเกล้าฯให้นายโจอาคิม แกรซีเป็นผู้ออกแบบและก่อสร้าง มีลักษณะเป็นศิลปะแบบนีโอคลาสสิค สูง ๒ ชั้น โดยมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้รวบรวมศาลตามกระทรวงต่างๆ มาอยู่ที่แห่งเดียวกัน เพื่อเป็นที่ประชุมลูกขุนตระลาการขุนศาลทุกกระทรวงและเป็นที่เก็บรักษากฎหมาย เพื่อประสาทความยุติธรรมให้ราษฎรด้วยความรวดเร็ว สุจริต ยุติธรรม และพระราชทานนามว่า “ศาลสถิตย์ยุติธรรม”
ต่อมากระทรวงยุติธรรมก่อสร้างอาคารศาลแพร่ง ศาลอาญา และศาลอุทรขึ้นใหม่ และย้ายไปเปิดทำการในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ อาคารศาลสถิตย์ยุติธรรมจึงใช้เป็นที่ทำการศาลฎีกาจนปัจจุบัน
๑๓. พระแม่ธรณีบีบมวยผม(อุทกทาน) ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ใกล้โรงแรมรัตนโกสินทร์ และสะพานผ่านพิภพลีลา สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสร้างจากพระดำริของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เพื่อแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าวชิราวุธฯ ได้พระราชทานคำแนะนำให้สร้างอุทกทานเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม ปั้นขึ้นด้วยฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ร่วมกับพระยาจินดารังสรรค์(พลับ) ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ อุทกทานได้รับความเสียหายจากการถูกลักลอบนำอุปกรณ์ไปขายจนใช้การไม่ได้ และได้รับการซ่อมแซมในสมัยรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่ก็ไมได้ใช้เป็นสถานที่แจกจ่ายน้ำบริสุทธิ์อีกต่อไป
๑๔.คูเมืองเดิม พระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคูเมืองด้านตะวันออกของกรุงธนบุรียาวมาถึงฝั่งพระนครเพื่อป้องกันข้าศึก โดยโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคูเมืองออกแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง ๒ ด้าน คือด้านเหนือที่ท่าช้างวังหน้าและด้านใต้ที่ปากคลองตลาด ต่อมาเมื่อมีการย้ายราชธานีมาฝั่งพระนครในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคูเมืองเพิ่มอีก ๒ ชั้นใน พ.ศ.๒๓๒๖ คือคลองบางลำพูหรือคลองโอ่งอ่าง และคลองผดุงกรุงเกษม รวมเป็น ๓ ชั้น มีกำแพงและประตูเมืองตลอดแนวคลองคูเมืองเดิม ตัวกำแพงพระนครได้มีการนำอิฐเก่าจากกรุงศรีอยุธยามาก่อสร้าง
๑๕. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เดิมคือพื้นที่พระราชวังบวรสถานมงคล หรือที่เรียกว่า “วังหน้า” สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างคราวเดียวกับครั้งเริ่มสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๓๒๕ เพื่อเป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่เดิมนั้นมีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่าในปัจจุบัน พื้นที่เดิมทางด้านทิศใต้ครอบคลุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนพื้นที่เดิมทางด้านทิศเหนือไปสิ้นสุดที่ฝั่งสนามหลวงทางด้านทิศเหนือ ยังมีการสร้างวัดประจำวังหน้าคือ วัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า)ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงพื้นที่จากวังหน้าเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเริ่มต้นราว พ.ศ. ๒๔๓๐ เป็นปีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมิวเซียมหลวงในพระบรมมหาราชวังมายังวังหน้า ต่อจากนั้นได้พัฒนาเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครในที่สุด
๑๖. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เดิมชื่อ“วัดสลัก”เป็นวัดเก่าสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาภายหลังจากการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และย้ายพระนครมาตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา วัดสลักจึงอยู่กลางระหว่างพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรสถานมงคล
ตามประวัติแล้วเป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทให้การอุปถัมถ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากทรงเคยอธิษฐานขอให้รอดพ้นจากข้าศึก ภายหลังเหตุการณ์คับขันจากเหตุการณ์ร้ายในครั้งนั้นพระองค์ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์เรื่อยมา สะท้อนสู่รูปแบบงานสถาปัตยกรรมที่แสดงออกถึงความเป็นสกุลช่างวังหน้าอย่างชัดเจน สำหรับชื่อ “วัดมหาธาตุ” เป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชทานนามให้ตามชื่อวัดเก่าในสมัยอยุธยา เป็นไปตามคติการสร้างวัดมหาธาตุเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุประจำเมือง การสร้างถาวรวัตถุเนื่องในพุทธศาสนาภายในวัดมหาธาตุมีเป็นจำนวนมาก อันเกิดจากเป็นวัดที่ได้รับการอุปถัมถ์จากพระมหากษัตริย์ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์โดยตลอดมา
๑๗. ตึกถาวรวัตถุ เดิมนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างด้วยพระราชประสงค์๒ ประการ ประการแรกเพื่อเป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย อีกประการหนึ่งโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้บัญชาก่อสร้างอาคารตึกถาวรวัตถุ เพื่อเป็นที่เชิญพระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมาร แต่การสร้างไม่แล้วเสร็จจนล่วงเข้าสู่สมัยรัชกาลที่๖ โปรดเกล้าฯให้เร่งสร้างจนแล้วเสร็จพร้อมปรับเปลี่ยนให้เป็นหอสมุดสำหรับพระนคร ลักษณะรูปแบบอาคารได้รับการตกแต่งให้เป็นอาคารตึกร่วมสมัยที่มีการผสมผสานเค้าโครงแบบไทยประเพณี